ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสีพ่นซ่อมรถยนต์
สวัสดีครับ ผมคิดว่าคงมีหลายๆ คนที่ยังไม่เข้าใจว่าทำสีรถเนี่ย ทำไมมันแพงจัง แล้วที่อู่เค้าบอกว่า สีแห้งช้า แห้งเร็ว 1K หรือ 2K มันคืออะไรหว่า งงไปหมดละ จะเลือกอย่างไหนดีถึงจะไม่ถูกหลอก งั้นเรามาทำความรู้จักกับสีพ่นรถยนต์กันก่อนดีมั้ยครับ ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำสีรถสุดที่รักของเรา
ประเภทของสีพ่นรถยนต์โดยทั่วไปเราแบ่งสีพ่นรถยนต์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. สี 1K (สีวันเค หรือที่อู่เรียกว่า สีแห้งเร็ว) คือ สีระบบ 1 องค์ประกอบ (1 Komponent) คือประกอบด้วยส่วนของตัวสีเพียงอย่างเดียว ในการใช้งานอาจนำมาผสมกับตัวทำละลาย เช่นทินเนอร์ แต่ตัวทำละลายที่นำมาผสมนี้ จะไม่นับเป็นองค์ประกอบ เนื่องจากตัวทำละลายจะระเหยตัวออกไปจนหมดหลังการใช้งาน เหลือเพียงฟิล์มสีที่แห้งตัวแล้วเท่านั้น ระยะเวลาเซ็ตตัวแค่ 5 -10 นาทีก็เอามือแตะได้แล้วครับ ง่ายและรวดเร็ว แต่ก็ต้องแลกกับอายุการใช้งานและความเงางามที่สั้น
2. สี OEM คือสีที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ สีชนิดนี้มีเพียงองค์ประกอบเดียว ในการใช้งานอาจนำมาผสมกับตัวทำละลายเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น สีชนิดนี้จะแห้งตัวโดยการการอบที่อุณหภูมิสูงประมาณ 120-160 oC จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สีอบ" (High Bake Paint) หลังจากสีแห้งตัวแล้ว จะมีฟิล์มสีที่มีคุณภาพดีมาก ความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง มีความทนทานต่อตัวทำละลายเช่นทินเนอร์ หรือน้ำมันเบนซิน / ดีเซลได้ดีมาก และทนทานต่อสารเคมีต่างๆ เช่นน้ำมันเบรกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ให้ความเงาที่ดี มีเนื้อสีมาก รวมทั้งสามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่าย มีความคงทนสูงและคงสภาพเดิมได้นานมาก
3. สี 2K (สีทูเค หรือที่อู่เรียกว่า สีแห้งช้า) คือ สีระบบ 2 องค์ประกอบ (2 Komponent) คือประกอบด้วยส่วนของตัวสี ซึ่งคือองค์ประกอบที่ 1 และตัวเร่งปฏิกิริยา (Hardener หรือ Activator) ซึ่งคือองค์ประกอบที่ 2 โดยก่อนใช้งานต้องนำทั้ง 2 องค์ประกอบมาผสมกันตามอัตราส่วน เพื่อให้เกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งจะทำให้สีเกิดการแห้งตัว (Chemical Drying) สี 2K หลังจากแห้งตัวแล้ว จะมีคุณสมบัติในด้านความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง มีความทนทานต่อตัวทำละลายเช่นทินเนอร์ หรือน้ำมันเบนซิน / ดีเซลได้ดีมาก และทนทานต่อสารเคมีต่างๆ เช่นน้ำมันเบรกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ให้ความเงางามสูง มีเนื้อสีมาก รวมทั้งสามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่าย มีความคงทนสูงและคงสภาพเดิมได้นานมาก กล่าวคือมีคุณสมบัติที่เทียบเคียงได้กับสี OEM แต่ถ้าผสมแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องทิ้งนะครับ ระยะเวลาเซ็ตตัว ประมาณ 5 - 6 ชั่วโมงครับกว่าจะทำกระบวนการต่อไปได้ อู่ก็เลยเรียกว่าแห้งช้า
สำหรับ การ พ่นซ่อมสีรถยนต์ในอู่ หรือศูนย์ซ่อมสีทั่วไปนั้น จะเลือกใช้สีได้แค่ 2 แบบ คือสี 1K หรือสี 2K เท่านั้น ไม่สามารถนำสี OEM มาใช้ได้ เนื่องจากสี OEM จะต้องอบที่อุณหภูมิสูงมาก ซึ่งอู่หรือศูนย์ไม่สามารถทำได้ ในปัจจุบันนี้อู่หรือศูนย์ซ่อมสีชั้นนำจะหันมาใช้สีระบบ 2K เนื่องจากมีคุณภาพโดยรวมที่ดีกว่าสี 1K มาก
เรารู้จักกับชนิดของมันแล้ว ทีนี้เราจะเลือกอะไรดี ...!! มาเปรียบเทียบความแตกต่างกันครับ
สี 1K
- ราคาต้นทุนต่ำ (จ่ายน้อย)
- ง่าย รวดเร็ว รอรับรถได้เลยหรือไม่เกิน 1 วัน
- ความเงางามพอสมควรขึ้นอยู่กับคุณสมบัตรสีที่ใช้ แต่อายุการใช้งานอาจะประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่
กับการดูแล แต่อาจจะเงางามแค่ 6 เดือนแรก หรือ 1 ปี เท่านั้น
- ความทนทานน้อย ไม่ทนต่อ ทินเนอร์ มันเบนซิน/ดีเซล น้ำมันเบรก ถ้าหากแค่ถูกทินเนอร์สัมผัส
อาจจะทำให้สีละลาย หรือหลุดได้เลย
สี 2K
- ราคาต้นทุนสูง (อาจต้องจ่ายแพงกว่า 1k สองเท่า)
- ใช้เวลาในการทำนาน ยุ่งยาก เพราะแต่ละขั้นตอนต้องรอถึง 4-6 ชั่วโมง อาจใช้เวลาเป็นอาทิตย์
และสิ้นเปลืองสีที่ผสมแล้วใช้ไม่หมดจะต้องทิ้งเท่านั้น เก็บไว้ใช้ใหม่ไม่ได้
- ความเงางามสูง สะท้อนเป็นแผ่นกระจกเลยถ้าหากสีพื้นเป็นสีเข้ม อายุการใช้งาน หายห่วง 3-5 ปี
ยังเงางาม ถ้าหากหมองๆ สามารถขัดสีให้เงาได้เหมือนดังเดิม ถ้าหากดูแลรักษาดี เป็น 10 ปีก็เงา
- ควาทนทานสูงมาก ทนต่อสารเคมี ทินเนอร์ มันเบนซิน/ดีเซล น้ำมันเบรก ไฟ หรือความร้อนสูง
เอาทินเนอร์ป้ายยังไม่ระคายสีผิวเลยครับ
หลังจากรู้จักสีกันแล้ว เรามาดูขั้นตอนของการทำสีกันเลยครับ
การทำสีระบบ 2K แบบ โดยทั่วไปมีกระบวนการแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือระบบสีจริงทับหน้าด้วยเคลียร์[แลคเกอร์] 2K ซึ่งตัวสีจริงยังเป็นสีระบบ 1K แต่จะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าสี 1K โดยทั่วไปคือ เนื้อสีเข้มข้น การกลบตัวของสีดี ใช้ทินเนอร์น้อย พ่นง่าย แห้งเร็ว เมื่อสีแห้งตัวฟิล์มสีจะไม่เงาต้องใช้เคลียร์ทับหน้า สีจริงระบบ 2K แบบนี้ สามารถทำได้ทั้ง สีMetallic,สีPearl,สีSollic ซึ่งความเงางามนั้นจะขึ้นอยู่ที่การเลือกเคลียร์ที่ใช้ทับหน้าสีเคลียร์ 2K ที่ใช้กันอยู่จะมีอัตราส่วนผสมตั้งแต่ 2ต่อ1,3ต่อ1,4ต่อ1,10ต่อ1 ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ตัวอย่างเช่น 2ต่อ1และ3ต่อ1 จะเหมาะสำหรับงานพ่นทั้งบานและทั้งคันต้องพ่นในห้องพ่นสี เนื่องจากแห้งช้าใช้เวลาในการแห้งผิว 2-4 ชั่วโมง แต่จะให้ความเงางามที่ดีมาก ส่วนอัตราส่วน ผสม 4 ต่อ 1, 10 ต่อ 1 จะเหมาะสำหรับงานซ่อมแผล เนื่องจากแห้งเร็วกว่าแห้งผิวใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เท่านั้น ซึ่งสามารถพ่นโดยไม่ต้องใช้ห้องพ่นสีได้ เคลียร์ 2K แบบนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมมากและ ได้มาแทนที่เคลียร์ระบบ 1K ไปแล้ว
ขั้นตอนการทำสี [จะขอข้ามขั้นตอนการเตรียมพื้นนะครับ เพราะมันรายละเอียดเยอะมาก] 1. เตรียมพื้นของชิ้นงานให้เรียบเนียนที่สุด [เคาะ/โป๊ว/รองพื้น/ขัดลบรอย] 2. ล้างทำความสะอาดให้ทั่วตัวรถ 3. ใช้ลมเปาไล่ความชื้นออก 4. ติดกระดาษปิดบังส่วนที่ไม่ต้องการพ่นสี 5. ใช้ลมเป่าไล่ฝุ่นละอองให้ทั่ว 6. ทำความสะอาดผิวชิ้นงานด้วยนํ้าเช็ดคราบ 7. นำผ้าเหนียว (Tack Cloth) มาลูบเบาๆบนผิวชิ้นงาน เพื่อจับฝุ่น 8. พ่นสีจริงจำนวน 2 เที่ยว ทิ้งช่วงระหว่างเที่ยว 10-15 นาที แรงดันลมที่ใช้ 40-50 ปอนด์ต่อตรางนิ้ว 9. เมื่อพ่นสีเสร็จ ให้ทิ้งช่วงระหว่างสีจริงกับเคลียร์ 15 นาที 10. ให้นำผ้าเหนียว (Tack Cloth) มาลูบเบาๆบนผิวสี เพื่อจับละอองสีที่ติดอยู่ 11. พ่นเคลียร์จำนวน 2 เที่ยว ทิ้งช่วงระหว่างเที่ยว 15 นาที แรงดันลมที่ให้ 50-60 ปอนด์ต่อตรางนิ้ว ทิ้งไว้เพื่อให้สีแห้งผิว 2-4 ชั่วโมง 12. ขัดยาเงาตกแต่งหลังเคลียร์แห้งตัวแล้ว 12 ชั่วโมง
แต่ทั้งหมด ที่กล่าวมานี้ต้องขึ้นอยู่กับยี่ห้อของสีที่อู่เลือกใช้ด้วยครับ บางครั้ง 2K ของคุณภาพ
ไม่ดีก็อาจจะไม่เงางามดั่งใจก็ได้ ต้องวัดใจละ่ครับ
เอาล่ะครับบทความนี้คงพอจะช่วยให้รถคันหมอง ของหลายๆ คน กลับมาเงางามได้นะครับ
ส่วนใครจะเลือกใช้สีชนิดใด ก็แล้วแต่ความต้องการและ กำลังจ่ายในกระเป๋านะครับ
*** ราคาและขั้นตอนกลับไปดูที่ หน้าแรก ครับ ***
|